ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย เปลี่ยนผิวหย่อนคล้อยให้กระชับเรียนเนียน คืนความเยาว์วัย พร้อมโชว์ผิวสวยในขั้นตอนเดียวด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ปูพื้นฐานฉบับบ่อยง่ายเกี่ยวกับโบท็อกซ์ ฉีดโบท็อกซ์คืออะไร โบท็อกซ์ กี่วันเห็นผล PEWDEE CLINIC รวมมาให้แล้ว ข้อควรรู้ฉบับอัปเดตล่าสุด 2024 ฉีดโบท็อกอันตรายไหม? ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อกซ์มีอะไรบ้าง? ฉีดโบท็อกซ์ห้ามกินอะไร? รวมข้อดีและข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์ กระจ่างทันทีภายใน 5 นาที
ฉีดโบท็อกซ์ คืออะไร ?
โบท็อกซ์ คือ สารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด เช่น ลดริ้วรอย ลดกราม ปรับรูปหน้า ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว เป็นต้น
การฉีดโบท็อกซ์ช่วยอะไร แก้ปัญหาผิวด้านไหนบ้าง?
โบท็อกซ์ นอกจากจะมั่นใจในความปลอดภัย ผ่านการรับรองจาก US FDA แล้ว ยังช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้ทำแล้ว และยังสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย
- ป้องกันการเกิดริ้วรอยเส้นเล็ก ๆ บนใบหน้า กลายเป็นริ้วรอยลึกหรือถาวรได้
- ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ยกกระชับ โดยไม่ต้องผ่าตัด
- ช่วยปรับโครงหน้า ทำให้ใบหน้าดูมีมิติมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องพักฟื้น
- ช่วยลดเหงื่อได้ถึง 80% ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของกลิ่นตัวไปในตัว การฉีดโบท็อกซ์ จึงช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ในขั้นตอนเดียว
อัปเดตฉีดโบท็อกซ์ ราคาดีที่สุด เฉพาะเดือนนี้กับ PEWDEE CLINIC
เปลี่ยนผิวหย่อนคล้อย ให้กลับเต่งตึง ปรับรูปหน้าให้กลับมาเรียวสวย คืนความสดใสให้กับชีวิตอีกครั้ง ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ราคาพิเศษกับ PEWDEE CLINIC คลินิกความงามชั้นนำมากประสบการณ์ในไทย บริการด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ ที่พร้อมให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าคนสำคัญ ด้วยเครื่องมือ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ระดับ Gold Standard พร้อมอัปเดตเทรนด์ความงามใหม่ ๆ เสมอ การันตีความปลอดภัยและผลลัพธ์หลังฉีดโบท็อกซ์
นอกจากนี้ เรายังมีทรีทเม้นท์ ดูแลเรื่องยกกระชับผิว ไม่ว่าจะเป็น Ulthera และ Thermage อีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจฉีดโบท็อกซ์กับเรา สามารถขอคำปรึกษาแพทย์และสอบถามแพ็กเกจหรือโปรโมชันได้ที่ดีที่สุดได้ที่นี่
โบท็อกซ์ฉีดตรงไหนได้บ้าง ช่วยแก้ปัญหาผิวอย่างไร?
ปัจจุบัน การฉีดโบท็อกซ์สามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง โดยผู้ที่ใช้บริการกับทาง PEWDEE CLINIC นิยมฉีดโบท็อกซ์ 9 ตำแหน่ง ได้แก่ โบท็อกซ์หน้าผาก โบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว โบท็อกซ์หางตา โบท็อกซ์ปีกจมูก โบท็อกซ์ลดริ้วรอย โบท็อกซ์มุมปาก โบท็อกซ์กราม โบท็อกซ์ลิฟหน้า โบท็อกซ์รักแร้ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
ฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก
การฉีดโบท็อกซ์ บริเวณหน้าผาก ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อ ผ่านการแสดงสีหน้าต่าง ๆ ทำให้หน้าผากเรียบเนียน พร้อมป้องกันการเกิดริ้วรอยถาวรในอนาคตได้ด้วย
ฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว
คือ การฉีดโบท็อกซ์บริเวณหน้าผากเหนือคิ้ว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โบท็อกซ์ยกคิ้ว ช่วยให้คิ้วยกสูงขึ้น ขับให้ตาดูกลมโตมากขึ้น และยังช่วยเสริมเรื่องโหงวเฮ้ง ตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาคิ้วตก ใบหน้าไม่สดใส และยังช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณหางตาได้อีกด้วย
ฉีดโบท็อกซ์หางตา
เป็นหนึ่งในเทคนิคการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อแก้ปัญหาหางตาตก ช่วยยับยั้งการหลั่งสาร Acetylcholine จากปลายประสาท ทำให้กล้ามเนื้อคลายไม่บีบรัดตัวมาก จึงลดการดึงรั้งหางตาที่ตกลงได้ รวมถึงยังช่วยแก้ไขริ้วรอยรอบดวงตาได้ด้วย โดยเฉพาะริ้วรอยเล็ก ๆ อย่างรอยย่นหางตา รอยตีนกา รอยย่นใต้ตา และรอยย่นขมวดคิ้ว
ฉีดโบท็อกซ์ปีกจมูก
การฉีดโบท็อกซ์ที่ปีกจมูก ทำให้เนื้อปีกจมูกดูเล็กลงหรือกระชับมากยิ่งขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย
ริ้วรอยเป็นสัญญาณของอายุที่เพิ่มมากขึ้นและความไม่สดใส แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากดูแก่กว่าวัย การฉีดโบท็อกซ์จึงเป็นหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดริ้วรอยจากการสีหน้า ทั้งบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว หางตา รอยย่นจมูก ทำให้ผิวหน้ากระชับ แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ และลดการเกิดริ้วรอยถาวรบนใบหน้าได้อีกด้วย
ฉีดโบท็อกซ์มุมปาก
ช่วยคลายกล้ามเนื้อ Depressor anguli oris muscle ซึ่งทำหน้าที่ดึงมุมปากลง เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวก็จะไม่มีแรงดึงมุมปากลง จึงช่วยยกมุมปากขึ้น เปลี่ยนใบหน้าดุ บึ้งตึง ให้ดูเป็นมิตร สดใสขึ้น และดูอ่อนเยาว์ไปพร้อม ๆ กัน
ฉีดโบท็อกซ์กราม
หรือโบท็อกซ์ลดกราม ช่วยให้กล้ามเนื้อกรามคลายตัวและอ่อนแรงลง ทำให้กรามมีขนาดเล็กลง ปรับรูปหน้าเรียว กระชับอย่างเห็นได้ชัด ตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ แนะนำให้ทำควบคู่กับโบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า จะได้ผลลัพธ์ใบหน้าเรียวสวยเข้ารูปมากยิ่งขึ้น
โบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า
โบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า เป็นวิธีที่ช่วยให้ผิวบริเวณกรอบหน้ายกกระชับ บางคนอีกอย่างว่า ลิฟติ้งหน้า ช่วยให้ใบหน้าได้รูป ดึงหน้าและลำคอให้ตึงกระชับเรียวเล็กลง เห็นกรอบหน้าอย่างชัดเจน
ฉีดโบท็อกซ์รักแร้
ส่วนการฉีดโบท็อกซ์รักแร้ คือ การฉีดโบท็อกซ์เข้าไปบริเวณรักแร้ 20-30 จุด เพื่อยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อได้มากถึง 80% หมดปัญหารักแร้เปียก จนเสียความมั่นใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดกลิ่นตัว การฉีดโบท็อกซ์ จึงช่วยแก้ปัญหาทั้ง 2 อย่างได้ในขั้นตอนเดียว
ฉีดโบท็อกซ์แต่ละตำแหน่งใช้ปริมาณเท่าไหร่ ?
โดยทั่วไป การฉีดโบท็อกซ์จะใช้ปริมาณการฉีดไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวในแต่ละตำแหน่ง ซึ่งแต่ละคนก็จะมีปัญหาผิวไม่เท่ากันอยู่แล้ว ประกอบการประเมินผลของแพทย์ผู้ชำนาญการเป็นหลัก โดยจำนวนยูนิตที่ใช้ในการฉีดโบท็อกซ์แต่ละจุด สามารถประมาณการคร่าว ๆ ได้ ดังต่อไปนี้
- โบท็อกซ์หน้าผาก : ใช้ประมาณ 10-30 ยูนิต
- โบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว : ใช้ประมาณ 10-25 ยูนิต
- โบท็อกซ์หางตา : ใช้ประมาณ 25 ยูนิต
- โบท็อกซ์ปีกจมูก : ใช้ประมาณ 25 ยูนิต
- โบท็อกซ์ลดริ้วรอย : ใช้ประมาณ 50 ยูนิต
- โบท็อกซ์มุมปาก : ใช้ประมาณข้างละ 10-15 ยูนิต
- โบท็อกซ์กราม : ใช้ประมาณข้างละ 50-100 ยูนิต
- โบท็อกซ์กรอบหน้า : ใช้ประมาณ 30-50 ยูนิต
- โบท็อกซ์รักแร้ : ใช้ประมาณข้างละ 50-100 ยูนิต
ฉีดโบท็อกซ์ เหมาะกับใคร ตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาผิวอย่างไรบ้าง?
การฉีดโบท็อกซ์ สามารถแก้ปัญหาผิวได้รอบด้าน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังประสบกับปัญหาผิว หรือต้องการแก้ไขปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็น
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ต้องการลดริ้วรอยต่าง ๆ บนในหน้า
- ผู้ที่ต้องการกระชับผิวหน้าและคอให้เรียบตึง
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กและดูมิติมากยิ่งขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาเหงื่อใต้วงแขนเยอะ หรือผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวจนเสียความมั่นใจ
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า
ฉีดโบท็อกซ์ ไม่เหมาะกับใคร
ถึงแม้โบท็อกซ์จะช่วยแก้สารพัดปัญหาผิวได้ในขั้นตอนเดียว แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนบางกลุ่ม ที่ไม่เหมาะที่จะฉีดโบท็อกซ์ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็น
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคเกี่ยวกับการไหลเวียนเลือด เป็นต้น
- ผู้ที่มีอาการแพ้สาร Botulinum Toxin Type A
- ผู้ที่อยู่ระหว่างการทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
ก่อนจะฉีดโบท็อกซ์ ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
เมื่อทำการจองคิวฉีดโบท็อกซ์แล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อนเดินทางไปทำโบท็อกซ์ คือ การเตรียมตัวอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและลดโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
- งดการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น Aspirin, Ibuprofen, Naproxen
- งดอาหารเสริมและวิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามิน E วิตามิน C น้ำมันปลา หรือใบแปะก๊วย 1 สัปดาห์
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 24 ชั่วโมง
- งดสครับหน้า และงดใช้กลุ่มยาผลัดเซลล์ผิว เช่น ยากลุ่มกรดวิตามิน A AHA เรตินอล สครับหน้า 1-2 วัน
- หากเคยผ่าตัด หรือเคยเติมสารเติมมาก่อน จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนทำหัตถการ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือมีประวัติแพ้ยา แพ้อาหาร จะต้องให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ก่อนทำหัตถการทุกครั้ง
ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์กับ PEWDEE CLINIC
ในส่วนของขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์กับ PEWDEE CLINIC จะใช้เวลาในการทำประมาณ 30-40 นาที โดยมีรายละเอียดในแต่ละขั้นตอน ดังต่อไปนี้
- แพทย์ผู้ชำนาญการ จะทำการตรวจสภาพผิวและประเมินการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของลูกค้า
- หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะเริ่มทำความสะอาดผิว และทายาชาทิ้งไว้
- เมื่อยาชาออกฤทธิ์ แพทย์ผู้ชำนาญจะเริ่มทำฉีดโบท็อกซ์ตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ โดยใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ขึ้นอยู่จำนวนยาและบริเวณผิวที่ทำการรักษา
- เมื่อฉีดโบท็อกซ์เสร็จ พนักงานจะทำความสะอาดผิวให้คนไข้ หลังจากนั้นแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลผิว เพื่อให้ผลลัพธ์การฉีดโบท็อกซ์อยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น
หลังฉีดโบท็อกซ์ ควรดูแลผิวบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์อย่างไร
การดูแลผิวหลังฉีดโบท็อกซ์มีความสำคัญมาก เพราะผลลัพธ์หลังการฉีดจะอยู่ได้นานแค่ไหนจะอยู่ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวเป็นหลัก โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ไม่ควรจับหรือนวดบริเวณที่รักษา เพราะอาจมีผลต่อการกระจายตัวของยา
- หลังฉีดโบท็อกซ์ 4 ชั่วโมง เป็นช่วงที่ตัวยากำลังซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อ จึงไม่ควรนอนราบหรือนอนตะแคง เพราะยาอาจเคลื่อนจากตำแหน่งที่แพทย์วางไว้
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์
- งดทำหน้า หรือนวดหน้า 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง และทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ
- งดทำกิจกรรมที่อยู่ในสถานที่ร้อน ๆ เช่น การอบไอน้ำ ซาวน่า ปิ้งย่าง ชาบู หรือหมูกระทะ
- งดออกกำลังกายอย่างหนัก
- งดการทายาหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซี 24 ชั่วโมง
- หากมีอาการบวมแดง สามารถใช้น้ำแข็งประคบได้
โบท็อกซ์ ยี่ห้อไหนดี? แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นอย่างไร?
โบท็อกซ์ในวงการเสริมความงามปัจจุบัน มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป โดยแพทย์ผู้ชำนาญการจะทำการตรวจสอบผิวอย่างละเอียด และเป็นผู้แนะนำยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เหมาะสมกับผิวที่สุด โดยยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ PEWDEE CLINIC แนะนำ มีอยู่ 3 ยี่ห้อ ได้แก่ โบเยอรมัน (Pure Toxin) โบเกาหลี (Botulax) และโบท็อกซ์อเมริกา (Allergan) โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
โบเยอรมัน (Pure Toxin)
Pure Toxin เป็นโบสัญชาติเยอรมัน มีความบริสุทธิ์สูง เสี่ยงต่อการดื้อโบต่ำ เบาสบายผิว แลดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึง และตัวยายังเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก จึงให้ผลลัพธ์ตรงจุดที่ต้องการรักษาโดยเฉพาะ ทั้งยังผ่านการรับจากอย.ไทย US FDA และยุโรปอีกด้วย
โบเกาหลี (Botulax)
มีความอ่อนโยนและความบริสุทธิ์ ไม่แข็งตึง เป็นโบที่ราคาจับต้องได้ และมีคุณภาพ นิยมใช้การลดริ้วรอย ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวเล็ก ทำให้เห็นกรอบหน้าชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โบท็อกซ์อเมริกา (Allergan)
ส่วนโบท็อกซ์อเมริกา เป็นยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มีความบริสุทธิ์มากถึง 99.5% ทำให้โอกาสที่เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์มีน้อยมาก และเห็นผลลัพธ์เร็วอีกด้วย นอกจากนี้ โบท็อกซ์อเมริกายังมีความแม่นยำสูง และอยู่ได้นานกว่าโบยี่ห้ออื่นถึง 10-20% อีกด้วย
ฉีดโบท็อกซ์ปลอม อันตรายยังไง? หากฉีดโบท็อกซ์ปลอม จะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?
การฉีดโบท็อกซ์ปลอมที่ก็เหมือนการฉีดสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย นอกจากจะไม่เห็นผลลัพธ์แล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อร่างกายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- อาการดื้อโบท็อกซ์ ที่ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา
- ความไม่บริสุทธิ์ของตัวยา เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้
- เกิดการติดเชื้อจากโบท็อกซ์ปลอมที่ไม่ได้ผ่านการผลิตที่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดอาการหนังตาตก ปากเบี้ยว หนักสุด
- กรณีที่การฉีดผิดพลาด อาจทำให้เกิดอาการเนื้อตาย จนต้องผ่าตัดในที่สุด
แต่ถ้าวางใจใช้บริการกับ PEWDEE CLINIC มั่นใจได้เลยว่า ผลลัพธ์หลังการใช้บริการมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน เพราะเราใช้นำเข้าและเลือกใช้โบท็อกซ์แท้ 100% ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง พร้อมให้บริการโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ โดยโบท็อกซ์ที่ทางเราเลือกใช้ผ่านการรับรองมาตรฐานจากอย.ไทย USA FDA และยุโรป เห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีจากรีวิวผู้ใช้บริการจริง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์
ฉีดโบท็อกซ์กี่วันเห็นผล?
หลังการฉีดโบท็อกซ์กับทาง PEWDEE CLINIC จะสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ โดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้น เมื่อโบท็อกซ์เริ่มเข้าที่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1 สัปดาห์
ฉีดโบท็อกซ์อยู่ได้กี่เดือน นานแค่ไหน ?
โดยทั่วไปผลลัพธ์การฉีดโบท็อกซ์ จะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ต่อการฉีด 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อกซ์ และการดูแลผิวหลังการฉีดโบท็อกซ์ด้วย
ฉีดโบท็อกซ์ครั้งต่อไป ควรเว้นระยะห่างกี่วัน?
หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว หากต้องการฉีดอีกครั้ง ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 เดือน และไม่ควรเกิน 6 เดือน เนื่องจาก จะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ปกติ ทำให้ต้องใช้ปริมาณโบท็อกซ์เพิ่มมากขึ้น
ฉีดโบท็อกซ์ เจ็บไหม?
ปกติก่อนจะเริ่มฉีดโบท็อกซ์ แพทย์ผู้ชำนาญการจะทำการฉีดยาชาหรือทายาชา ในกรณีที่ลูกค้ากลัวเจ็บทุกครั้งก่อนการรักษา ดังนั้น ระหว่างการรักษา จึงแทบไม่รู้สึกเจ็บใด ๆ เลย
การฉีดโบท็อกซ์ สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม?
ไม่แนะนำให้ฉีดโบท็อกซ์ร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ควรเว้ยระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนจะทำหัตถการอื่น ๆ เพื่อดูผลลัพธ์หลังการฉีด และป้องกันการกระทบโบท็อกซ์ที่ทำไว้ด้วย
ฉีดโบท็อกซ์ห้ามกินอะไร
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์
- งดทานอาหารที่ต้องอยู่หน้าเตาร้อน ๆ เช่น ชาบู หมูกระทะ ปิ้งย่างต่าง ๆ
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ แตกต่างกันอย่างไร?
- โบท็อกซ์ : เป็นการฉีดสาร Botulinum Toxin Type A เข้าไปลดเลือนริ้วรอยแก้ปัญหาเหี่ยวย่น รวมถึงช่วยระงับเหงื่อ ปรับรูปหน้าและขนาดกล้ามเนื้อ
- ฟิลเลอร์ : เป็นการฉีดสาร Hyaluronic Acid (HA) เพื่อปรับรูปหน้า เติมเต็มร่องลึก แก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ บนใบหน้า
ฉีดโบท็อกซ์บ่อย ๆ จะทำให้เกิดการดื้อยาจริงหรือไม่
จริง ดังนั้น หากต้องการฉีดโบท็อกซ์เพิ่มในครั้งต่อ ๆ ไป ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 เดือน และไม่เกิน 6 เดือน
ฉีดโบท็อกซ์อันตรายไหม ?
ฉีดโบท็อกซ์ไม่เป็นอันตราย เพราะสารโบท็อกซ์ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากอย.ไทย US FDA และยุโรป ทั้งนี้ ควรเลือกใช้บริการกับคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน และมีแพทย์ผู้ชำนาญการเป็นผู้ดำเนินการรักษา เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากความผิดพลาดระหว่างการรักษาได้
ข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ไม่มีข้อเสียแต่อย่างใด เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษาไม่ได้อยู่ถาวร โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน โดยสามารถเติมโบท็อกซ์ได้เรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับความต้องการและดุลยพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษาด้วย